Hot Topic ในวันนี้คงจะเลี่ยงไม่ได้กับเรื่องของหญิงสาวท่านหนึ่งที่ได้โพสข้อความบนหน้า Facebook ของเธอด้วยถ้อยคำที่รุนแรงต่อผู้ที่มาติดต่อราชการในเวลาเที่ยง (ซึ่งจากข้อความจับใจความน่าจะเป็นคนพิการที่เข้ามาขอใช้บริการ) แล้วมีเพื่อนใน Facebook ของสาวผู้นั้น ได้พบเห็นข้อความจึง Capture แล้วก็โพสลง Pantip ซะเลย
ซึ่งตอนนี้ก็มีคนตีความไปสองกลุ่มว่า เหตุที่เธอใช้ข้อความที่หยาบคายได้ขนาดนี้เพราะ
- เธอโมโหหิว (มีคนบอก Viral ของ สนิกเกอร์ อีกแก๊)
- เธอมาตามคุณสามีของเธอไปตามข้าวเที่ยง
(Update: ล่าสุดหลายๆ คห.บอกว่าสาวเจ้ามาตามคุณสามีไปทานข้าวแล้วมีคนพิการมาขอใช้บริการทั้งๆ ที่เวลาเที่ยงแล้ว นางก็เหวี่ยงซิ : สนิกเกอร์มั้ยเจ๊)
และแน่นอนว่า เมื่อเข้าสู่สังคมของ Pantip ปั๊บ ก็เกิดการวิจารณ์เธออย่างหนักมาก (นี่ถ้าเธอเป็นดาราอาจจะถึงออกจากวงการดาราเลยทีเดียว) ทำให้คุณเธอต้องออกมาขอโทษขอโพยพร้อมบอกว่า “ถ้าเรื่องนี้เธอไม่โดน เธอไม่รู้หรอก (กระซิกๆ)” ปรากฎว่าพอเรื่องนี้เริ่มหนักเข้า เธอทนไม่ไหว จึงนำข้อความที่มีทั้ง Pantip และ Facebook ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ ในข้อหา หมิ่นประมาท แล้วก็อธิบาย ก็เราโพสหน้า Wall เราเอง ตั้งค่าความส่วนตัวเป็นเฉพาะเพื่อนด้วย ทำไม่ได้ถูกนะ เราโพสในเฟสเราก็ต้องส่วนตัวเราสิ พร้อมทั้งนำพรบ.คอมพิวเตอร์ มาตราที่ 5, 6 และ 11 มาโพสลงหน้า Facebook ตัวเองอีกด้วย เรื่องราวก็จบเพียงเท่านี้ (แต่เรื่องการโดนจิจารณ์ในโลก Social Network ก็ยังคงทำงานของมันต่อไป)
เอาละ มาสู่ช่วงนี้สาระกันบ้าง เราจะดูเหตุการณ์นี้ออกเป็น 2 ข้อด้วยกัน นะครับ
1. Facebook เป็นพื้นที่ส่วนตัว จริงหรือไม่ ?
จริงครับ แต่คุณต้องตั้งโพสของคุณเป็น Only Me เท่านั้นนะครับ ถ้าไม่เป็น Only Me ข้อความก็จะเป็นสาธารณะทันที ทั้งนี้จะมากล่าวอ้างว่า ก็ตั้งให้เห็นเฉพาะเพื่อนอะ มันก็ต้องส่วนตัวสิ ความเห็นนี้ท่าจะผิดครับ แค่คุณรับเพื่อนเข้าใน Facebook ของคุณ มันก็ไม่เป็นส่วนตัวละครับ เพื่อนสามารถเห็นกิจกรรมบน Facebook ได้หมดเลย ไม่ว่าจะกด Like กด Share หรือทำอะไรก็ตามที่คุณไม่ได้ตั้งความเป็นส่วนตัวไว้ว่า Only Me หรือดูง่ายๆ ถ้าโพสนั้นมีปุ่ม Share เมื่อไหร่ แค่นั้นก็ไม่เป็นส่วนตัวแล้ว ฉะนั้น จะมาบอกว่าตั้งความเป็นส่วนตัวว่าให้เพื่อนเห็น Status ของฉันเท่านั้น มันก็ต้องส่วนตัวสิ ลองนึกง่ายๆ ว่าคุณเขียนบันทึกเรื่องราวของคุณไว้ในสมุดทำความดี ละมีเพื่อนในห้องคนนึงที่คุณก็ไม่ได้สนิทกับเค้าผ่านมาเห็นสมุดเล่มนั้นที่เปิดหน้าบันทึกความดีไว้อ้าซ่า เพื่อนคุณก็ยืนอ่านอยู่ แล้วเกิดอารมณ์หมั่นไส้ว่า “หึ! แกมันคนดีจริงๆ” ว่าแล้วเพื่อนก็ถ่ายรูปบันทึกหน้านั้น แล้วก็เอาไปให้เพื่อนคนอื่นดูพร้อมปริ้นแปะไว้ที่บอร์ดหน้าห้อง พอคุณมาเห็นก็โวยวายว่า “อร๊ายยย นั่นมันบันทึกของชั้นนะ ทำไมพวกเธอทำแบบนี้ ไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็อย่ามาทำแบบนี้นะ อร๊ายๆ ชั้นจะฟ้องคุณครู” ว่าแล้วก็วิ่งแจ้นไปฟ้องคุณครูแล้วก็ครูก็ได้แค่พยึกหน้า
หลายๆ คนอาจจะเคยลองเล่นการตั้งความเป็นส่วนตัวในหลายๆ ส่วนแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เคย ลองจิ้มลิ้งค์นี้ดู แล้วก็ลองปรับๆ แต่งๆ เล่นเลยครับ ซึ่งถ้าเราล้อตาม Legel ของ Facebook มีอยู่หลายจุดที่ Facebook ก็บอกว่า You own all of the content and information you post on Facebook, and you can control how it is shared through your privacy and application settings. (ยูจะเป็นเจ้าของๆ เนื้อหาและข้อมูลใน Facebook ของยูหมดเลยนะ แล้วยูก็ยังสามารถปรับแต่งความเป็นส่วนตัวได้ด้วย) หรือ 4. When you publish content or information using the Public setting, it means that you are allowing everyone, including people off of Facebook, to access and use that information, and to associate it with you (i.e., your name and profile picture). (เมื่อไหร่ที่ข้อมูลของยูตั้งค่าเป็น Public มันก็หมายความว่าใครเห็นก็ได้นะยูนะ) อยากอ่าน Legel เพิ่มเติมก็จิ้มได้ที่นี่เลย
ฉะนั้น จึงขอสรุปสั้นๆ ว่า Facebook เป็นพื้นที่สาธารณะเชิงตั้งค่านนะจ๊ะ
ขออนุญาต Edit ส่วนนี้นะครับ เนื่องจากคำว่า พื้นที่สาธารณะเชิงตั้งค่า ที่ผมพูดออกมา ทำให้มันดูไม่เคลียและไม่สามารถหาความหมายของมันได้ จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ที่ทำให้หลายๆ คนอาจจะสับสนได้นะครับ ขอบคุณครับ
2. พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 5,6 และ 11 จะเอาผิดอะไรได้หรือไม่
สาวเจ้าได้แปะมาตรา 3 ข้อที่กล่าวถึงใน Facebook ตัวเอง ดังนี้ฮับ
โอเค มาตีกันทีละข้อในแบบชาวบ้านๆ ดีกว่าเนอะ
- มาตราที่ 5 : ใครแฮคข้อมูลข้า เจ้าผิด .. แต่คนที่มาอ่านข้อความของสาวเจ้าเค้าอ่านบน Facebook Account เค้าเอง ฉะนั้น ไม่มีใครแฮค Facebook เจ๊เลยครับ
- มาตราที่ 6 : ใครรู้ Password ข้า เจ้าผิด .. แต่ผมก็ไม่เห็นว่าการรู้ Password ของเจ๊จะสำคัญขนาดนั้นเลย เพราะคนที่เอารูปมาแชร์เค้าก็ไม่ได้เข้า Facebook เจ๊ไปสูบรูปมาซะหน่อย
- มาตราที่ 15 : ใครเอารูปข้ามาตัดต่อ เจ้าผิด .. Status ของเจ๊เค้าแคปหน้าจอแล้วก็แปะมาโพสเลยครับ แถมไอ้รูปเจ๊ที่เค้าสูบๆ กันมาแปะโชว์ใน Pantip ก็ไม่ได้มีการดัดแปลงอะไรนิ มีแต่เจ๊ที่ใช้ Camera360 แต่งรูปเจ๊เอง (อาจจะเกิดคำถามอีกนิดว่า เซนเซอร์ข้อมูลหรือคาดตาดำที่ภาพนี่เข้าข่ายมั้ย คิดว่าไม่นะครับ เพราะเป็นการปกปิดข้อมูลประเภทหนึ่ง เหมือนที่คนกระทำผิดแล้วไม่อยากให้สังคมรู้ว่าเป็นใครก็คาดตาดำมันซะเลย)
ก็เป็นอันว่า ถ้าสาวเจ้าจะเอาข้อกฎหมาย 3 ข้อนี้ไปแจ้งความว่า “คุณตำรวจเจ้าขา อิชั้นโดนคนกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ตค่ะ ช่วยอิชั้นด้วยนะเจ้าคะ” ก็แลดูจะไม่มีน้ำหนักในคดีนี้นะครับ ซ้ำร้ายถ้าคุณเอาโพสของคุณไปประกอบหลักฐานในคดี คุณเองซิจะไม่โดนจับ แต่จะโดนประณามจากสังคมมากกว่า
ก่อนจากกัน ผมเห็นคห.หนึ่งใน Pantip แล้วชอบเหมือนกัน ขออนุญาตยกข้อความนั้นมาเลยนะครับ
พึงระลึกไว้ว่า โซเชียลมีเดียไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคล แต่มันเป็นพื้นที่สาธารณะความเป็นส่วนบุคคลของคุณมีแค่ ยูสเซอรืและรหัสผ่านและการควบคุมเนื้อหาเท่านั้น หลังจากที่คุณโพสสิ่งเหล่านั้นมันจะกลายเป็นข้อมูลสาธารณะทั้นทีรู้จักไหมครับ โซเชียล สะกด S-O-C-I-A-L แปลว่า สังคม ไม่ใช่ ส่วนตัว
สรุปสั้นๆ ละกัน … ตามข้างบนเลย (ฮา)
ปล. ผมว่าเจ๊ควรออกมาพูดความจริงซักทีนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่บอกว่า มาด่าเราโดยไม่รู้เรื่องจริงอะไรเลย ก็บอกซักทีสิเจ๊ เค้าจะได้เข้าใจเจ๊กันถูก ไม่ใช่ปิดเฟสไปหนีมาแบบเน้~